- กวาวเครือขาว (Pueraria mirifica) หรือ White Kwao Krua กวาวเครือขาวชื่อวิทยาศาสตร์ :Pueraria candollei Graham ex Benth. var mirifica (Airy Shaw et Suvat.) Niyomdham. หรือ Pueraria candollei Graham ex Benth. var candollei จัดเป็นพืชในวงศ์ LEGUMINOSAE หรือวงศ์ FABACEAE และอยู่ในวงศ์ย่อย PAPILIONOIDEAE เช่นเดียวกับ กวาวเครือแดง (Butea superba Roxb.)
- สมุนไพรกวาวเครือขาว จัดเป็นไม้เลื้อย หรือพืชในตระกูลถั่ว โดยเป็น 1 ใน 4 ชนิดของกวาวเครือทั้งหมด มีหัวอยู่ใต้ดิน ลักษณะกลม มีหลายขนาด ถ้าหัวที่มีอายุมากอาจหนักถึง 20 กิโลกรัม เมื่อเอามีดผ่าออกจะมียางสีขาวคล้ายน้ำนม เนื้อในจะมีสีขาวคล้ายมันแกว เนื้อเปราะ มีเส้นมาก ส่วนหัวเล็ก เนื้อในจะละเอียด มีน้ำมาก และนิยมเพาะปลูกหรือพบมากทางภาคเหนือและอีสานของประเทศกวาวเครือขาวเป็นสมุนไพรไทยที่มีประโยชน์อย่างมากสำหรับเพศหญิง แต่สำหรับเพศชายก็สามารถรับประทานได้เช่นกัน เพราะมีสรรพคุณช่วยทำให้ร่างกายกระชุ่มกระชวย และเป็นยาอายุวัฒนะ ซึ่งตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข จัดให้กราวเครือขาวเป็นตัวยาชนิดหนึ่งในตำรับยาบำรุงร่างกาย และได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนเป็นตำรับยาแผนโบราณและยาแผนโบราณสามัญประจำบ้าน ซึ่งสามารถรับประทานได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งจากแพทย์
- สรรพคุณกวาวเครือขาว มีสารออกฤทธิ์สำคัญที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนของเพศหญิง (Phytoestrogens) ซึ่งได้แก่ miroestrol และ deoxymiroestrol ที่มีส่วนช่วยกระตุ้นให้ลักษณะความเป็นผู้หญิงออกมา เช่น หน้าอกขยายใหญ่ขึ้นในระยะเวลา 2-3 เดือน ประมาณ 0.5 – 1 นิ้ว ซึ่งกระบวน การเหล่านี้จะทำให้หน้าอกขยายขึ้นเรื่อยๆ จนถึงระดับหนึ่งเมื่อหน้าอกกระชับแล้วกระบวนการเหล่านี้ก็จะสิ้นสุดลง และสาร miroestrol ยังช่วยให้เพิ่มความเปล่งปลั่งสดใสให้ผิวพรรณได้อีกด้วย ซึ่งการออกฤทธิ์ดังกล่าวนี้หากใช้ในปริมาณน้อย จะช่วยออกฤทธิ์กระตุ้นในเชิงบวก แต่ถ้าใช้ในปริมาณมากจะออกฤทธิ์ในการยับยั้งเสียเอง โดยฤทธิ์ของกราวเครือขาวนั้นไม่ถาวร ถ้าหยุดรับประทานฤทธิ์ของกราวเครือก็จะค่อยๆหมดไปภายใน 2-3 สัปดาห์ (และการเก็บรักษาที่นานเกินไป 5-10 ปี จะทำให้ฤทธิ์ก็จะค่อยๆเสื่อมลงเช่นกัน)กราวเครือขาว ในปัจจุบันมีจำหน่ายในรูปของแคปซูลที่เป็นกระปุกหลากหลายยี่ห้อ เพื่อความปลอดภัยของผู้ที่จะรับประทาน กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แนะนำ ไม่ควรรับประทานผงกราวเครือขาวเกินวันละ 1-2 mg./ต่อน้ำหนักตัว 1 kg. (หรือรับประทานประมาณวันละ 50-100 mg.) ซึ่งทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยากำหนดขนาดในการรับประทานว่าห้ามเกินวันละ 100 mg. สำหรับวิธีการรับประทานแบบแคปซูลส่วนมากจะแบ่งรับประทานเป็นวันละ 2 เวลา เช้า-เย็น ก่อนอาหารครึ่งชั่วโมง (หรือตอนตื่นกับก่อนนอน) และเว้นช่วงที่มีประจำเดือนหรือต้องรอให้ประจำเดือนหมดก่อนแล้วค่อยเริ่มรับประทาน สำหรับผู้ที่รับประทานยาคุมแบบ 21 เม็ดก็ให้เว้นในช่วง 7 วันที่หยุดกิน แต่ถ้าเป็นแบบ 28 เม็ดก็ให้เว้นการรับประทานในช่วงที่กินเม็ดแป้ง 7 เม็ด (แต่อีกตำราบอกว่าไม่ควรรับประทานกราวเครือร่วมกับยาคุมกำเนิด เพราะอาจจะทำให้เกิดผลที่ขัดแย้งกัน ควรเลือกรับประทานอย่างใดอย่างหนึ่ง) หรืออีกวิธีใช้ผงกราวเครือขาวผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกขนาดเท่าเมล็ดพริกไทยรับประทานวันละ 1 เมล็ด
พืชสมุนไพร เป็นสิ่งที่อยู่คู่คนไทยมานับพันปี แต่เมื่อการแพทย์แผนปัจจุบันเริ่มเข้ามามีบทบาทในบ้านเรา สรรพคุณและคุณค่าของสมุนไพรอันเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าภูมิปัญญาโบราณก็เริ่มถูกบดบังไปเรื่อยๆ และถูกทอดทิ้งไปในที่สุด
วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
ประโยชน์กวาวเครือขาว
วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
สบู่เลือด
สบู่เลือด
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Stephania pierrei Diels
ชื่อวงศ์ : MENISPERMACEAEชื่ออื่น : บัวกือ (เชียงใหม่, เพชรบุรี) บัวเครือ (เพชรบูรณ์) บัวบก (กาญจนบุรี,นครราชสีมา)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :
ไม้ล้มลุก
มีหัวใต้ดินีขนาดใหญ่ กลมแป้น เปลือกหัวสีน้ำตาล เนื้อในสีขาวนวล
รสชาติมันและเฝื่อนเล็กน้อย ลำต้นแทงขึ้นจากหัว โค้งงอลงสู่พื้นดิน
เป็นไม้กึ่งเลื้อยทอดยาวได้ประมาณ 3-5 เมตร ใบ
เป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปเกือบกลม หรือ กลมคล้ายใบบัว แต่จะมีขนาดเล็กกว่า
เส้นผ่าศูนย์กลางใบประมาณ 3-6 ซม. ก้านใบยาว 2-3.5 ซม. ติดที่กลางแผ่นใบ
ดอกออกเป็นช่อกระจุกที่ซอกใบ เป็นดอกแยกเพศ กลีบเลี้ยง 4-5 กลีบ
รูปขอบขนาน สีเหลือง ไม่มีกลีบดอก ผลมีลักษณะเป็นทรงกลม มี 1 เมล็ด รูปเกือกม้า
ส่วนที่ใช้ : หัว ก้าน ต้น ใบ ดอก เถา
ส่วนที่ใช้ : หัว ก้าน ต้น ใบ ดอก เถา
สรรพคุณทางสมุนไพร :
ต้น – กระจายลมที่แน่นในอก
ใบ – บำรุงธาตุไฟ ใส่บาดแผลสดและเรื้อรัง
ดอก – ฆ่าเชื้อโรคเรื้อน ทำให้อุจจาระละเอียด
เถา – ขับโลหิตระดู ขับพยาธิในลำไส้
หัว, ก้าน – แก้เสมหะเบื้องบน ทำให้เกิดกำลัง บำรุงกำหนัด
ราก – บำรุงเส้นประสาท
วิธีใช้
หัวกับก้านรับประทานกับสุรา
ทำให้หนังเกิดอาการชาอยู่ยงคงกระพัน ถูกเฆี่ยน ตีไม่เจ็บไม่แตก
พวกนักดื่มนิยมกันนัก
หัวหั่นเป็นชิ้นบางๆ
สัก 3 แว่น ตำโขลกกับน้ำซาวข้าวหรือสุราก็ได้ให้ละเอียดๆ
แล้วคั้นเอาแต่น้ำดื่ม ประมาณ 1 ถ้วยชา เช้า-เย็น และก่อนนอน
แก้ตกเลือดของสตรี แก้มุตกิด ระดูขาว หรือตกขาวได้อย่างชงัด เป็นผลมากแล้ว
จันทน์แดง หรือ จันแดง จันหอม
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ราคา ติดต่อสอบถาม Tel: 0802358685
เป็นไม้พุ่มสูง 2 – 5 ม.
ลำต้นตรงเป็นรูปบวม ๆ เรือนยอด อาจมียอดเดียวหรือหลายยอด เปลือกนอก เกลี้ยง สีเทา
เปลือกในสีขาว ใบเดี่ยว ออกเวียนสลับถี่ ๆ ที่ปลายยอด ปลายแหลม
สีเขียวเข้ม ก้านเป็นกาบหุ้มซ้อนทับกันรอบลำต้น ดอกออกเป็นช่อใหญ่ตามซอกใบ กลีบดอก 6 กลีบ
ตรงกลางดอกมีจุดสีแดง เมื่อบานเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.8 ซม. ดอกสีขาว ผลกลม
เล็ก ผลอ่อน มีสีเขียว ผลแก่ สีม่วงคล้ำ มีเมล็ดเดียว ระยะเวลาในการออกดอกและเป็นผล ออกดอกระหว่างเดือน
กรกฏาคม-สิงหาคม และผลแก่ระหว่างเดือน สิงหาคม-กันยายน การขยายพันธุ์เพาะกล้าจากเมล็ด
หรือปักชำ
สรรพคุณด้านสมุนไพร
ส่วนที่ใช้เป็นสมุนไพรและมีสรรพคุณคือ เนื้อไม้ ที่มีเชื้อราลงจนเป็นสีแดงเข้ม
เรียกว่าจันทน์แดงใช้เป็นยาเย็นดับพิษไข้ บำรุงหัวใจ ฝนทาภายใจ แก้ฟกช้ำ บวม
และฝี แก่น รสขมเย็น แก้ไออันเกิดจากซางและดี บำรุงหัวใจ
แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้ไข้เพื่อดีพิการ แก้บาดแผล
ในตำรายาไทย
นำจันทร์แดงมาทำยาประสะจันทน์แดง ดังนี้
วัตถุส่วนประกอบ รากเหมือนคน รากมะปรางหวาน รากมะนาว เปราะหอม โกฐหัวบัว จันทร์เทศ ฝางเสน หนักสิ่งละ ๔ ส่วน เกสรบัวหลวง ดอกบุนาค ดอกสารภี ดอกมะลิ หนักสิ่งละ ๑ ส่วน และจันทน์แดง ๓๒ ส่วน นำมาบดเป็นผง
วัตถุส่วนประกอบ รากเหมือนคน รากมะปรางหวาน รากมะนาว เปราะหอม โกฐหัวบัว จันทร์เทศ ฝางเสน หนักสิ่งละ ๔ ส่วน เกสรบัวหลวง ดอกบุนาค ดอกสารภี ดอกมะลิ หนักสิ่งละ ๑ ส่วน และจันทน์แดง ๓๒ ส่วน นำมาบดเป็นผง
สรรพคุณยาประสะจันทน์แดง
ใช้แก้ไข้ตัวร้อน กระหายน้ำ โดยละลายน้ำสุกหรือน้ำดอกมะลิ
ขนาดรับประทาน รับประทานทุก ๓ ชั่วโมง ผู้ใหญ่ ครั้งละ ๑ ช้อนกาแฟ เด็ก ครั้งละ ๑/๒ ช้อนกาแฟ
ขนาดรับประทาน รับประทานทุก ๓ ชั่วโมง ผู้ใหญ่ ครั้งละ ๑ ช้อนกาแฟ เด็ก ครั้งละ ๑/๒ ช้อนกาแฟ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)